ปรึกษาวัยทอง

วัยทองคืออะไร

วัยทอง หมายถึงช่วงเวลาที่ผู้หญิงหมดประจำเดือนไปแล้วอย่างน้อย 1 ปี ซึ่งอาการวัยทองอาจเริ่มต้นก่อนถึงวัยทองจริง (เรียกว่าช่วง Perimenopause) โดยมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจ


อาการของวัยทอง


1.อาการทางร่างกาย

  • ร้อนวูบวาบ มักเกิดบริเวณครึ่งบนของร่างกาย เช่น หน้าและอก เป็นช่วงสั้น ๆ 1-2 นาที
  • นอนไม่หลับหรือกระสับกระส่าย โดยเฉพาะตอนกลางคืน
  • อ่อนเพลียหรือหมดเรี่ยวแรง
  • ปวดตามข้อ ผิวแห้ง ตาแห้ง
  • ช่องคลอดแห้งหรือมีอาการคัน
  • ปัสสาวะเล็ดหรือกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อได้ง่าย
  • ภาวะกระดูกพรุน เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมน


2.อาการทางจิตใจ

  • อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
  • ภาวะซึมเศร้าหรือหลงลืม


ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการร้อนวูบวาบ

  • อาการพบได้ในผู้หญิงวัยทองประมาณ 70-80% แต่มีเพียง 20-30% ที่ต้องการรักษา
  • อาการนี้เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลง ทำให้ระบบควบคุมอุณหภูมิในสมองผิดปกติ
  • ระยะเวลาของอาการอาจสั้นเพียง 6 เดือน แต่บางคนอาจมีอาการยาวนานถึง 10-20 ปี

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้อาการรุนแรงขึ้น

  1. ขาดการออกกำลังกาย
  2. การใช้ยาฮอร์โมนในอดีต เช่น ยาคุมกำเนิด
  3. พันธุกรรม
  4. เชื้อชาติ เช่น ชาวแอฟริกันอเมริกันมีโอกาสเกิดอาการรุนแรงมากกว่าชาวเอเชีย


การวินิจฉัยและการรักษาเบื้องต้น

การวินิจฉัย

  • ซักประวัติอาการ เช่น ร้อนวูบวาบหรือช่องคลอดแห้ง.
  • ตรวจเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมน เช่น FSH (Follicle Stimulating Hormone) ที่มักสูงขึ้นในวัยทอง.


วิธีการรักษาและดูแลวัยทอง


1.การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น โยคะ เดินเร็ว หรือเล่นกีฬาที่ส่งเสริมความแข็งแรงของกระดูก
  • รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว
  • สัมผัสแสงแดดเพื่อเสริมวิตามินดี
  • การผ่อนคลายจิตใจ ทำสมาธิ หรือฝึกการหายใจ หรือฝึกโยคะเพื่อผ่อนคลายจิตใจ


2.การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

  • วิตามินเสริม เช่น วิตามินดี หรือแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูก
  • สมุนไพรบางชนิดที่ช่วยบรรเทาอาการ เช่น ถั่วเหลือง (Soy isoflavones) อาจช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ


3.การรักษาด้วยยา

  • ยาฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy - HRT) การเสริมฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนเพื่อบรรเทาอาการ ใช้ในผู้ที่มีอาการรุนแรง แต่ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
  • ยาที่ไม่ใช่ฮอร์โมนสำหรับบรรเทาอาการ เช่น ยาต้านอาการซึมเศร้าบางชนิด


4.การรักษาทางเลือก

  • การแพทย์แผนจีน
  • การใช้สมุนไพร


ข้อควรระวังในการใช้ฮอร์โมนทดแทน

การใช้ฮอร์โมนเสริมในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมและลิ่มเลือดอุดตัน (หากใช้ในปริมาณหรือระยะเวลาที่ไม่เหมาะสม) โดยเฉพาะเมื่อใช้เอสโตรเจนร่วมกับโปรเจสเตอโรน ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการรักษา


ความสำคัญของการรักษาด้วยฮอร์โมน


ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen): ปกติสร้างจากรังไข่ แต่ในวัยทองรังไข่จะหยุดทำงาน ทำให้ต้องเสริมฮอร์โมนเข้าไปเพื่อบรรเทาอาการ.


วิธีการใช้เอสโตรเจนมีหลายช่องทาง เช่น:

  • กิน: ยาเม็ด.
  • ทา: ยาทาผิวหนัง.
  • ใส่ช่องคลอด: เจลหรือยาเฉพาะ.
  • แปะ: แผ่นแปะฮอร์โมน.


การเลือกวิธีขึ้นอยู่กับ:

  1. อาการ: เช่น มีอาการร้อนวูบวาบหรืออื่น ๆ.
  2. ความถนัดของผู้ป่วย: เช่น บางคนสะดวกแบบกินมากกว่าทา.
  3. ข้อห้าม: เช่น ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางประการ.
  4. ราคา: แต่ละวิธีมีต้นทุนแตกต่างกัน.


การเปรียบเทียบระหว่างการกินและทาผิวหนัง

1.ยากิน:

  • ข้อดี: ช่วยปรับสมดุลไขมันดีในร่างกาย.
  • ข้อเสีย: เพิ่มระดับไตรกลีเซอไรด์ (ไขมันไม่ดี). อาจลดฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ส่งผลต่อความต้องการทางเพศ. มีผลกระทบกับฮอร์โมนไทรอยด์ในบางกรณี.

2.ยาทาผิวหนัง:

  • มีข้อเสียที่น้อยกว่าในด้านการเพิ่มไตรกลีเซอไรด์และผลต่อฮอร์โมนไทรอยด์.


ปรับขนาดยาตามความเหมาะสม

  • เริ่มจาก ขนาดยาต่ำ แล้วเพิ่มทีละน้อยตามความจำเป็น.
  • หากอาการไม่ดีขึ้น เช่น ยังร้อนวูบวาบ ให้ปรับขนาดยา.


ข้อควรระวังและข้อห้าม

ไม่ควรใช้ฮอร์โมนในกรณีที่:

  • มีปัญหา ลิ่มเลือดอุดตัน.
  • นิ่วในถุงน้ำดี.
  • ไมเกรน.

หากมีข้อห้ามในการกิน ควรเปลี่ยนเป็นแผ่นแปะหรือวิธีอื่นแทน.


ก่อนเริ่มยา Hormone ต้องคำนวณความเสี่ยง

ความสำคัญของการคำนวณความเสี่ยง


ทำไมต้องคำนวณ?

  • การใช้ฮอร์โมนโดยไม่ประเมินความเสี่ยงอาจเพิ่มโอกาสเกิดโรค เช่น โรคหัวใจหลอดเลือด และ มะเร็งเต้านม.
  • แนวทางปัจจุบัน (Guideline) แนะนำให้คำนวณความเสี่ยงทั้งสองด้านนี้ก่อนเริ่มใช้ยา เพื่อให้การรักษาปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ.


การคำนวณความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

เกณฑ์ความเสี่ยง

  • ความเสี่ยงต่ำกว่า 5% ใน 10 ปี: ใช้ฮอร์โมนได้ทั้งแบบกิน (Oral) และแบบทาผิวหนัง (Transdermal).
  • ความเสี่ยง 5-10%: ควรเลือกฮอร์โมน แบบทาผิวหนัง เพื่อลดผลกระทบต่อระบบหลอดเลือด.
  • ความเสี่ยงเกิน 10%: หลีกเลี่ยงการใช้ฮอร์โมนทุกชนิด.


ตัวอย่างการคำนวณ (Cardiovascular Risk Calculator)

  • ใช้ข้อมูล เช่น อายุ ความดันโลหิต ระดับไขมันในเลือด พฤติกรรมการสูบบุหรี่ และการมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน.
  • ตัวอย่าง: ผู้หญิงอายุ 50 ปี ความดันโลหิต 160, คอเลสเตอรอลสูง 250 mg/dL มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเกิน 10% จึงไม่ควรใช้ HRT.


การคำนวณความเสี่ยงมะเร็งเต้านม

เกณฑ์ความเสี่ยง

  • ความเสี่ยงต่ำกว่า 1.67% (ใน 5 ปี): สามารถใช้ฮอร์โมนได้.
  • ความเสี่ยงเกิน 5% (ตลอดชีวิต): หลีกเลี่ยงการใช้ฮอร์โมน.


ตัวอย่างการคำนวณ (Breast Cancer Risk Assessment Tool)

ใช้ข้อมูล เช่น:

  • ประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม.
  • อายุที่เริ่มมีประจำเดือน (ก่อน 12 ปีเพิ่มความเสี่ยง).
  • เคยตั้งครรภ์หรือไม่ (การไม่มีลูกเพิ่มความเสี่ยง).
  • ตัวอย่าง: ผู้หญิงอายุ 50 ปี ไม่มีประวัติครอบครัวที่ชัดเจน ความเสี่ยงมะเร็งเต้านมตลอดชีวิตประมาณ 5.9% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ต้องหลีกเลี่ยง HRT.

คำแนะนำสำคัญ


1.การเลือกวิธีการใช้ฮอร์โมน

  • ฮอร์โมนแบบทาผิวหนังปลอดภัยกว่าสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงปานกลาง.
  • หากมีความเสี่ยงสูงในด้านใดด้านหนึ่ง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ฮอร์โมนทั้งหมด.


2.ปรึกษาแพทย์

  • การคำนวณความเสี่ยงควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด.


3.แนวทางใหม่

การคำนวณความเสี่ยงเป็นแนวทางที่ทันสมัยและช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น เทียบกับการวินิจฉัยโดยประวัติคร่าว ๆ แบบเดิม


การเริ่มต้นใช้ฮอร์โมนในผู้หญิงวัยทองต้องมาพร้อมกับการคำนวณความเสี่ยงอย่างละเอียดในด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมะเร็งเต้านม เพื่อลดผลข้างเคียงและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา. หากคุณสนใจเริ่มการรักษา ควรปรึกษาแพทย์และใช้เครื่องมือคำนวณความเสี่ยงที่ได้มาตรฐาน เช่น Cardiovascular Risk Calculator และ Breast Cancer Risk Toolเพื่อความมั่นใจในสุขภาพระยะยาว.


มีอาการวัยทอง แต่ไม่อยากกิน Hormone ต้องทำอย่างไร


กรณีอาการวัยทองเล็กน้อย

สำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรง เช่น ร้อนวูบวาบเล็กน้อย หรืออาการไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น:

1.ปรับสภาพแวดล้อม

  • ใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี.
  • ใช้พัดลมหรืออยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิเย็น.

2.หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น

  • งดอาหารรสจัดหรือเผ็ดร้อน.
  • หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด.

3.ปรับพฤติกรรมสุขภาพ

  • ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การฝึกสมาธิ การสะกดจิต หรือการบำบัดด้วย Cognitive Behavioral Therapy (CBT).
  • รับประทานวิตามินอีในปริมาณที่เหมาะสม (ควรปรึกษาแพทย์ก่อน).


กรณีอาการวัยทองปานกลางถึงรุนแรง

หากอาการรบกวนชีวิตประจำวัน เช่น ร้อนวูบวาบบ่อยครั้ง นอนไม่หลับ หรือตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า แต่ไม่สามารถรับฮอร์โมนได้ คุณหมอแนะนำการใช้ยาทางเลือกที่ไม่ใช่ฮอร์โมน:

กลุ่มยาที่ใช้


1.Selective Serotonin Reuptake Inhibitors (SSRIs)

  • ยาที่ช่วยลดอาการวัยทองและเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าร่วมด้วย.
  • เช่น Fluoxetine, Paroxetine.


2.Serotonin-Norepinephrine Reuptake Inhibitors (SNRIs)

  • ลดอาการร้อนวูบวาบและส่งเสริมสมดุลทางอารมณ์.
  • เช่น Venlafaxine, Duloxetine.


3.กลุ่ม Gabapentinoids

  • ลดอาการร้อนวูบวาบและช่วยในการนอนหลับ.
  • เช่น Gabapentin, Pregabalin.


ข้อดีของยาเหล่านี้

  • เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจและมะเร็งเต้านม.
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย เนื่องจากช่วยปรับสมดุลทางอารมณ์ควบคู่กับการบรรเทาอาการวัยทอง.

คำแนะนำสำคัญ

1.ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มยา

  • การเลือกใช้ยาเหล่านี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อปรับขนาดยาและติดตามผล.

2.พิจารณาแนวทางผสมผสาน

  • การรักษาด้วยยาอาจใช้ควบคู่กับการปรับพฤติกรรมและการบำบัดทางจิตใจ เช่น CBT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ.


สำหรับผู้ที่มีอาการวัยทองและไม่ต้องการใช้ฮอร์โมน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ยาทางเลือก เช่น SSRIs หรือ SNRIs เป็นทางออกที่ดีและปลอดภัย โดยเฉพาะในผู้ที่มีข้อห้ามหรือความกังวลต่อการใช้ฮอร์โมน. การรักษาควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรับวิธีการที่เหมาะสมที่สุดตามความต้องการและความเสี่ยงของแต่ละบุคคล.


สรุปภาพรวมวัยทองและการรักษา

อาการวัยทองเป็นภาวะธรรมชาติที่เกิดในผู้หญิงวัยกลางคน และการจัดการต้องปรับให้เหมาะสมกับสุขภาพและความเสี่ยงของแต่ละคน.


คำแนะนำหลัก:

  1. ประเมินความเสี่ยงก่อนเลือกวิธีการรักษา.
  2. หากใช้ HRT ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์.
  3. สำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้ HRT มีทางเลือกที่หลากหลาย เช่น การใช้ยาอื่นหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรม.

สุขภาพที่ดีเริ่มต้นที่การดูแลตนเอง หากสงสัยหรือมีอาการควรปรึกษาแพทย์เพื่อการดูแลที่เหมาะสม.


หากคุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ อย่าลืมแชร์เพื่อส่งต่อความรู้ด้านสุขภาพ! สุขภาพที่ดีเริ่มต้นที่ตัวเราเอง.


ท่านสามารถดูคลิปเกี่ยวกับวัยทองได้ที่นี่




รีวิว

ติดต่อเรา

มุสิกา คลินิก

ปราจีนบุรี

เบอร์โทร

02-114-7710 (ศูนย์สุขภาพสตรี)
037-212-987 (กุมารเวชกรรม)
037-216-727 (ผิวพรรณและความงาม)

ที่อยู่

62/8-9 ถนนปราจันตคาม ต.หน้าเมือง อ. เมือง ปราจีนบุรี

เวลาทำการ

ศูนย์สุขภาพสตรี
17:00 - 20:00 อาทิตย์-ศุกร์
09:00 - 12:00 เสาร์

กุมารเวชกรรม
17:00 - 20:00 จันทร์-ศุกร์

ผิวพรรณและความงาม
12:00 - 20:00 จันทร์-ศุกร์
10:00 - 20:00 เสาร์-อาทิตย์